ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyp)
ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyp) คือ การเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเยื่อบุโพรงจมูกหรือโพรงไซนัส มีลักษณะเหมือนหยดน้ำหรือเมล็ดองุ่น เกิดขึ้นที่บริเวณโพรงจมูกหรือโพรงไซนัส อาจมีเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อน เป็นผลมาจากการอักเสบเรื้อรังจากโรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน อาจไม่ทำให้เกิดอาการ แต่หากก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ จะทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก มีปัญหาในการดมกลิ่น หรือเกิดการติดเชื้อได้ง่าย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และเป็นโรคทางจมูกและไซนัสที่สร้างปัญหาให้กับทั้งตัวผู้ป่วยเองและแก่แพทย์ผู้ทำการรักษา ซึ่งได้แก่ปัญหาเรื่องการเกิดเป็นซ้ำและการเกิดไซนัสอักเสบร่วมด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจทั้งในหมู่ประชนทั่วไปและในหมู่แพทย์เองว่ารักษาไม่หาย ผู้ป่วยบางรายได้รับการผ่าตัดหลายครั้งก็ยังเกิดเป็นซ้ำได้อีก
ริดสีดวงจมูก อาการ สาเหตุ และการรักษา
อาการของริดสีดวงบริเวณนี้สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น อาการหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้นโรคนี้จึงเป็นโรคที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง และหากใครยังไม่รู้จักโรคริดสีดวงจมูก เราจะพาคุณไปรู้จักกับโรคนี้กัน
อาการริดสีดวงจมูกมีอะไรบ้าง
คนที่มีก้อนริดสีดวงจมูกขนาดเล็กอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากก้อนเนื้อมีหลายก้อน หรือมีขนาดใหญ่จนอุดตันภายในจมูกหรือโพรงไซนัส ก็อาจก่อให้เกิดอาการต่อไปนี้ได้
-คัดจมูก น้ำมูกไหล
-น้ำมูกหรือเสมหะไหลลงคอ
-เลือดกำเดาไหล
-ปวดศีรษะหรือปวดบริเวณใบหน้า
-สูญเสียการรับกลิ่นหรือการรับรู้รสชาติ
-รู้สึกปวดหรือแน่นบริเวณโพรงไซนัส ใบหน้า หรือฟันบน
-นอนกรน หรือหายใจทางปาก
-หยุดหายใจขณะหลับ
ควรไปพบแพทย์หากมีอาการของริดสีดวงจมูกนานกว่า 10 วัน หรือหากพบว่ามีอาการแย่ลง หายใจลำบากมากขึ้น เห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด ขยับดวงตาได้น้อยลง มีอาการบวมอย่างรุนแรงที่ดวงตา รวมถึงมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงร่วมกับมีไข้สูง หรือไม่สามารถเอนศีรษะไปด้านหน้าได้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
สาเหตุของริดสีดวงจมูก
ริดสีดวงจมูกเป็นผลมาจากการติดเชื้อและอักเสบของเยื่อบุจมูก ปัจจุบันยังบอกไม่ได้อย่างชัดเจนว่าริดสีดวงจมูกเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยที่ไม่เคยมีประวัติการติดเชื้อที่จมูกมาก่อน แต่มีหลักฐานบางอย่างแสดงให้เห็นว่าในผู้ป่วยริดสีดวงจมูกมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและตัวบ่งชี้ทางเคมีที่แตกต่างจากคนอื่น
โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุจมูกและพัฒนาไปสู่โรคริดสีดวงจมูกมีดังนี้
โรคภูมิแพ้ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่อาจทำให้เกิดโรคริดสีดวงจมูก ซึ่งมีการอักเสบของเยื่อบุจมูกเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน เมื่อมีการอักเสบนานๆ เยื่อบุจมูกจะมีการบวมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในคนที่ไม่รักษาหรือรักษาไม่ถูกต้อง ปล่อยให้มีการอักเสบซ้ำๆ เยื่อบุจมูกก็จะบวมออกมากลายเป็นริดสีดวงจมูก ทั้งนี้การอักเสบเรื้อรังจะมี 2 แบบด้วยกัน คือ เยื่อบุอักเสบจากภูมิแพ้ และเยื้อบุอักเสบชนิดไม่แพ้ ทั้ง 2 อย่างทำให้เกิดริดสีดวงจมูกได้ทั้งนั้น หรือในคนไข้ที่เป็น ไซนัสอักเสบเรื้อรังนาน ๆ เยื่อบุของไซนัสก็จะบวมออกมากลายเป็นริดสีดวงได้ แต่เราจะไม่เรียกริดสีดวงไซนัส
โรคหอบหืด เป็นสาเหตุการอักเสบของทางเดินหายใจ โดยประมาณร้อยละ 20-40 ของผู้ป่วยริดสีดวงจมูกจะมีอาการของโรคหอบหืดร่วมด้วย
การแพ้ยาแอสไพริน หรือยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ชนิดอื่น ๆ เช่น ไอบูโปรเฟน
ไซนัสอักเสบจากเชื้อรา เป็นอาการแพ้เชื้อราในอากาศ
โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคซีสติกไฟโบรซีส (Cystic Fibrosis) ที่มีความผิดปกติของเยื่อเมือก รวมถึงโพรงจมูกและ โพรงไซนัส ทำให้ผลิตเมือกออกมาเหนียวข้นกว่าปกติ
โรคหลอดเลือดอักเสบในปอด (Churg-Strauss Syndrome) ซึ่งพบได้น้อยมากในเด็ก
การรักษาริดสีดวงจมูก
การรักษาริดสีดวงจมูกทำได้ 2 วิธีคือ เริ่มต้นจากการรักษาโดยใช้ยา หากอาการไม่ดีขึ้นแพทย์จะรักษาด้วยวิธีผ่าตัด โดยมีรายละเอียดดังนี้
การรักษาโดยใช้ยา เพื่อทำให้ก้อนเนื้อมีขนาดเล็กลง ลดอาการอักเสบ และบรรเทาอาการ ยาที่ใช้ในการรักษามีด้วยกัน 3 ลักษณะคือ
ยาพ่นหรือยาหยอดจมูกคอร์ติโคสเตียรอยด์ รวมถึง ฟลูติคาโซน บูเดโซไนด์ ฟลูนิโซไลด์ โมเมทาโซน ไตรแอมซิโนโลน บีโคลเมทาโซน ยาพ่นจะเริ่มเห็นผลเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้หากใช้ไม่ถูกวิธี เช่น ระคายเคืองจมูก เลือดกำเดาไหล เจ็บคอ เป็นต้น
ยารับประทานคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น เพรดนิโซน อาจรับประทานยาอย่างเดียวหรือร่วมกับการใช้ยาพ่นหรือยาหยอดจมูก ช่วงเวลาของการใช้ยาจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 วัน เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น กระดูกพรุน ความดันเลือดสูง เบาหวาน น้ำหนักเพิ่ม เป็นต้น หรืออาจมีการฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
ยาอื่น ๆ เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือยาแอสไพริน เป็นต้น
การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด แพทย์จะรักษาด้วยวิธีนี้เมื่อการรักษาโดยการใช้ยาไม่ได้ผล แพทย์จะผ่าตัดโพรงจมูกและโพรงไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคป (Endoscopic Sinus Surgery) โดยส่องกล้องเข้าไปทางรูจมูกเพื่อหาตำแหน่งของก้อนเนื้อ และผ่าตัดก้อนเนื้อ หลังการผ่าตัดแพทย์จะสังเกตอาการประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าไม่พบอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงจากการผ่าตัด ผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่การผ่าตัดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น
จมูกแห้ง ซึ่งอาการจะดีขึ้นในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์
เลือดกำเดาไหลเป็นประจำ ซึ่งจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในอนาคต
การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ซึ่งรักษาได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ
หลังการผ่าตัดผู้ป่วยควรใช้ยาพ่นจมูกหรือล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ รวมถึงรับประทานยาแก้แพ้ จะช่วยลดการอักเสบบวม และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของริดสีดวงจมูกได้
การดูแลและป้องกันริดสีดวงจมูก
ภาวะแทรกซ้อนของริดสีดวงจมูก
ภาวะแทรกซ้อนของริดสีดวงจมูกเกิดขึ้นได้จากก้อนเนื้อที่ขวางทางเดินหายใจและของเหลว หรือเป็นผลมาจากสาเหตุของการอักเสบเรื้อรัง โดยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังต่อไปนี้
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ทำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจบ่อยขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตราย
โรคหอบหืดกำเริบ ทำให้โรคหอบหืดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งหรือมีอาการที่รุนแรงขึ้นได้
การติดเชื้อที่โพรงไซนัส ทำให้ไซนัสอักเสบหรือเรื้อรัง
รวมถึงภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา โดยเฉพาะการผ่าตัด อาจทำให้มีเลือดออกที่จมูก เกิดการติดเชื้อ สูญเสียการรับกลิ่น และร้อยละ 15 ของผู้ป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัดอาจเกิดริดสีดวงจมูกขึ้นซ้ำได้ หรือการรักษาอย่างต่อเนื่องด้วยยาพ่นจมูกที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือรับประทานยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) อาจทำให้ภูมิต้านทานการติดเชื้อที่โพรงไซนัสลดลง ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
การป้องกันริดสีดวงจมูก
จมูกเป็นอวัยวะสำคัญที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย การหายใจเข้าอาจนำเชื้อโรคจากในอากาศเข้าไปด้วย ดังนั้นหลังการรักษาผู้ป่วยควรปฏิบัติตนตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เมื่อรักษาหายแล้วควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นภูมิแพ้ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ จนโรคริดสีดวงจมูกกลับมาเกิดซ้ำได้อีก
ในการป้องกันริดสีดวงจมูก ทำได้โดยการลดโอกาสเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเกิดริดสีดวงจมูกหรือลดการเกิดซ้ำหลังการรักษา โดยมีแนวทางดังนี้
1. ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดในการรักษาโรคภูมิแพ้และโรคหอบหืด
2. หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้จมูกเกิดการระคายเคืองหรือการอักเสบ เช่น สารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่ ควันจากสารเคมี ฝุ่นละออง เป็นต้น
3. การรักษาสุขอนามัยที่ดี ด้วยการล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ
4. เพื่อป้องกันการอุดตันและการอักเสบของทางเดินอากาศในจมูก ล้างจมูก โดยใช้น้ำเกลือ เพื่อชะล้างน้ำมูก สารก่อภูมิแพ้ และลดการระคายเคืองของจมูก
อาหารเสริม Shizen Dr.U (ชิเซน ด็อกเตอร์ยู) ช่วยให้ ริดสีดวงจมูกดีขึ้นอย่างไร?
เพราะส่วนผสมที่มีใน อาหารเสริม Shizen Dr.U (ชิเซน ด็อกเตอร์ยู) ทั้งหมด 13 ชนิด มีสรรพคุณช่วยในเรื่องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ลดอาการภูมิแพ้อากาศ หอบหืด เป็นหวัดบ่อย ไอ จาม เรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไซนัสอักเสบ และนำไปสู่การเกิดริดสีดวงจมูก ทั้งนี้การทานอาหารเสริม Shizen Dr.U (ชิเซน ด็อกเตอร์ยู)เป็นประจำ ยังทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ลดการอักเสบ ปวด บวม ลดการเจ็บป่วยที่ทำให้มีอาการเรื้อรัง สุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยบ่อย บำรุงระบบประสาทและสมอง ช่วยให้นอนหลับสนิทหลับลึกพักผ่อนอย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากทำให้อาการริดสีดวงจมูกดีขี้นแล้ว ยังลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ สามารถทาน อาหารเสริม Shizen Dr.U (ชิเซน ด็อกเตอร์ยู) ควบคุมคู่กับการรักษาของแพทย์ได้

อาหารเสริม Shizen Dr.U (ชิเซน ด็อกเตอร์ยู) มีสารสกัดอีก 13 ชนิด ได้แก่ พลูคาว,น้ำมันจมูกข้าว, น้ำมันงา, น้ำมันเมล็ดงาขี้ม่อน, สารสกัดขิง, สารสกัดถั่งเช่า, สารสกัดโสม, เห็ดชิตาเกะ, เห็ดยามาบูชิตาเกะ, เห็ดไมตาเกะ, สารสกัดเห็ดหลินจือ, เบต้ากลูแคน, โคนเอ็นไซม์ Q10 รวมไว้ใน 1 ซอฟเจล
ร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายถูกต้อง
ของบริษัท Dr.Jel
มั่นใจได้ สินค้าของแท้ 100%
สินค้าส่งตรงจากบริษัท ถึงมือลูกค้า
โปรโมชั่นพิเศษ
อาหารเสริม Shizen (Dr.U)
ชิเซน ด็อกเตอร์ ยู
สั่งซื้อสินค้า หรือ สอบถามเพิ่มเติม

โทร. 062-3636292

หรือ แอดไลน์ พิมพ์ : @083morcd
<<<โอนเงินจัดส่งฟรี EMS ทั่วประเทศ>>>
<<<มีบริการเก็บเงินปลายทาง>>>
อาหารเสริม Shizen Dr.U ได้รับรางวัล 3 ปีซ้อน
ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม
Product innovation Awards (2021-2023)
อาหารเสริม Shizen Dr.U ชิเซน ด็อกเตอร์ ยู
จดทะเบียน อย. เลขที่ 73-1-02663-5-0009
รีวิวจากผู้ทาน Shizen Dr.U แล้วอาการริดสีดวงจมูกดีขึ้น




