โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน คืออะไร
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ โรคความดันน้ำในหูไม่เท่ากัน มีชื่อว่าในทางการแพทย์ว่า โรคเมเนียร์ (Meniere’s disease) พบมากในผู้ที่มีอายุ 30-60 ปี ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นในที่มีภาวะความดันน้ำในหูชั้นในที่เรียกว่า Endolymph มากผิดปกติ ส่งผลให้หูขั้นในที่มีหน้าที่ในการรับเสียง และควบคุมการทรงตัวทำงานผิดปกติ จึงทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ สูญเสียการได้ยิน และรู้สึกถึงแรงดันภายในหู เป็นต้น
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากสาเหตุอะไร
โรคนี้มีโอกาสเป็นได้ทุกเพศ และทุกวัย เพราะเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบมากในวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่มีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคได้ เช่น กรรมพันธุ์โดยมีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติแต่กำเนิด โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ หูน้ำหนวก ซิฟิลิส มีประวัติเคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ และโรคเบาหวาน ไทรอยด์ ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน มีอาการอย่างไร
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัว และการได้ยิน ทำให้เซลล์ดังกล่าวทำงานผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการ ดังนี้
ประสาทหูเสื่อม ผู้ป่วยมีการเสียการได้ยินแบบประสาทเสียงเสีย (sensorineural hearing loss) ทำให้หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด รู้สึกแน่นในหูเป็นๆหายๆ บางครั้งการได้ยินดีขึ้น บางครั้งการได้ยินแย่ลง ในระยะแรกเริ่มมักมีการเสียของประสาทหูที่ความถี่ต่ำก่อน แต่ในระยะยาวแล้วระดับการได้ยินจะแย่ลงเรื่อยๆ อาจถึงขั้นหูหนวกได้ ในระยะแรกอาจมีอาการที่หูข้างเดียว ในระยะหลังอาจมีอาการที่หูทั้งสองข้าง อาจมีอาการปวดหู หรือปวดศีรษะข้างที่เป็นร่วมด้วยได้
มีเสียงดังในหู มีเสียงดังในหู อาจเป็นเสียงหึ่ง วี้ เสียงลม เสียงจักจั่น อาการหนักๆ หน่วงๆ ในหู คล้ายมีแรงดันในหู
เวียนศีรษะ บ้านหมุน บางครั้งอาจมี คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกร่วมด้วย อาการเวียนดังกล่าวมักเป็นๆหายๆ ส่วนใหญ่มักบ้านหมุนไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่อาจเวียนศรีษะเป็นชั่วโมงได้ เมื่อมีอาการเวียนศีรษะ มักมีอาการหูอื้อ หรือเสียงดังในหูร่วมด้วย อาการเวียนศีรษะเป็นอาการที่รบกวนผู้ป่วยมากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ต้องนอนพัก
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันรักษาอย่างไร?
การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการที่ตรวจพบ โดยมีทั้งการให้ยาบรรเทาอาการ และการผ่าตัดโดยรักษาด้วยยาจะมีทั้งแบบยาทาน และแบบฉีด
การรับประทานยา
ยาขยายหลอดเลือด (ฮิสตะมีน) จะช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในหูชั้นในดีขึ้น
ยาขับปัสสาวะ อาจทำให้น้ำคั่งในหูชั้นในน้อยลง ผู้ป่วยอาจมีอาการดีขึ้นได้
ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ อาเจียน
ตลอดจนยากล่อมประสาทและยานอนหลับ
การฉีดยาเข้าไปในหูชั้นกลาง เพื่อให้ดูดซึมเข้าไปในหูชั้นใน ยาที่ฉีดเช่น gentamycin เป็นยาที่มีพิษต่อระบบประสาทหูและการทรงตัว ทำให้อาการเวียนศีรษะน้อยลง แต่การได้ยินอาจเสียไปด้วย
การผ่าตัดเพื่อระบายน้ำที่คั่งอยู่ในหูชั้นใน ใช้ในกรณีผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้จากการใช้ยา เช่น การตัดเส้นประสาท ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวในหูชั้นใน ในผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะไม่หาย เป็นต้น
การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเมื่อมีอาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
1. เมื่อเวียนศีรษะขณะเดิน ควรหยุดเดิน และนั่งพัก เพราะการฝืนเดินขณะเวียนศีรษะ อาจทำให้ผู้ป่วยล้ม เกิดอุบัติเหตุได้ ขณะขับรถหรือทำงานมีอาการเวียนศีรษะ ควรหยุดรถข้างทาง หรือหยุดการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกล ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าเวียนศรีษะมากควรนอนบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่นพื้น และ ผู้ป่วยควรมองไปยังวัตถุที่อยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ถ้าเวียนศีรษะลดลง ค่อยๆลุกขึ้น แต่อาจรู้สึกง่วง หรือเพลียได้
2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าง่วง หลังตื่นนอน อาการมักจะดีขึ้น
3. หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยทางเรือ เพราะจะทำให้มีอาการเวียนศีรษะมากขึ้นได้
4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน (ชา, กาแฟ และน้ำอัดลม) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และความเครียด เนื่องจากทำให้อาการแย่ลง เนื่องจากจะไปลดเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นใน
5. ไม่ควรกินเค็ม เพราะเกลือโซเดียมที่มีปริมาณมากขึ้นในร่างกาย จะทำให้มีน้ำคั่งในร่างกาย และในหูชั้นในมากขึ้น อาจทำให้อาการแย่ลงได้
Shizen Dr.U มีส่วนช่วยให้ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ดีขึ้นได้อย่างไร?Shizen Dr.U มีส่วนช่วยให้ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ดีขึ้นคือ
1. มีส่วนช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิต และการไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น เสียงดังในหูลดลง อาการหูอื้อดีขึ้น
2. ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ลดความเครียด ทำให้ร่างกายสดชื่น ลดอาการเวียนศีรษะ และบ้านหมุนได้
3. ลดอาการภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เบาหวาน ความดัน ไทรอยด์ ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากันได้
นอกจากทำให้อาการ โรคน้ำในหูไม่เท่ากันดีขึ้น ยังป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้